วันก่อน มีคนส่งคำถามมาหาผมว่า “พี่คิดยังไงกับคำว่า ถ้าไม่กล้ามีหนี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง”
.
คำตอบ คือ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมก็คิดแบบนี้นะครับ และ ด้วยความที่ผมคิดแบบนี้ มันก็เลยทำให้ผมมีปัญหาเรื่องเงินตลอด เรียกได้ว่า ช็อตเกือบทุกเดือน เงินไม่เคยพอใช้เลย
.
แต่ตั้งแต่ผมได้อ่านหนังสือ พ่อรวยสอนลูก วิธีคิดทางการเงินของผมก็เปลี่ยนไป ผมไม่เชื่อคำนี้อีกเลย และ มันก็ทำให้ผมไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินเลยแม้แต่ครั้งเดียว แถมยังรวยขึ้น รวยขึ้น อีกต่างหาก
.
# สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ บอกเอาไว้ว่า “คนรวยจะซื้อทรัพย์สิน ส่วน คนจน และ คนชั้นกลางจะซื้อหนี้สิน โดยหลงคิดว่ามัน คือ ทรัพย์สิน”
.
ทรัพย์สิน คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า
หนี้สิน คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า
.
ซึ่ง บ้าน กับ รถยนต์ สิ่งที่หลายคนบอกว่า ถ้าไม่กล้ามีหนี้ ก็ไม่มีเป็นของตัวเอง คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า ดังนั้น มันเป็น หนี้สิน ไม่ใช่ ทรัพย์สิน ครับ
.
# อย่างไรก็ตามคำว่า หนี้ มันก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ หนี้รวย กับ หนี้จน
.
หนี้รวย คือ หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น กู้เงินมาซื้อบ้าน คอนโด แล้วปล่อยเช่า โดยที่ ค่าเช่า ครอบคลุมค่างวดที่คุณต้องจ่ายให้กับธนาคาร
.
เช่น กู้มา 2,000,000 ผ่อนส่งธนาคาร 8,000 บาท ปล่อยเช่าได้ 10,000 บาท เหลือส่วนต่าง 2,000 บาท
.
แบบนี้ เรียกว่า “หนี้รวย” เพราะเงินมันไหลเข้ากระเป๋า
.
ซึ่งหนี้แบบนี้ ผมไม่ติดอะไร เพราะถึงจะเป็นหนี้ คุณก็รวยขึ้น มีเงินเข้ากระเป๋ามากขึ้นอยู่ดี
.
แต่ถ้าเป็นหนี้จน คือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หนี้ที่ทำให้เงินมันไหลออกจากกระเป๋า เช่น ไปกู้เงินมาซื้อรถขับ หรือ ซื้อบ้านเพื่ออยู่เอง
.
ถ้าเป็นหนี้แบบนี้ ผมจะไม่เอาครับ เพราะสำหรับผม ผมคิดว่า หนี้จน มันทำให้เรา “ไม่กล้าเสี่ยง”
.
และความไม่กล้าเสี่ยงนี่แหละ คือ “กับดัก” ที่คอยฉุดรั้งไม่ให้เราก้าวหน้าไปไหน
.
# สมมติว่า วันนี้คุณทำงานประจำได้รับเงินเดือน 20,000 บาท
.
แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ลองทำงานเสริมขายออนไลน์ไปด้วย พอขายไปได้สัก 3 เดือน ปรากฎว่าคุณได้กำไรเดือนละ 20,000 บาท ซึ่งเท่ากับงานประจำเลย
.
แต่อยู่ๆ หัวหน้าดันรู้ แล้วเดินมาบอกคุณว่า “ผมเห็นคุณขายออนไลน์ มันก็ดีนะ แต่ผมอยากให้คุณหยุดขายก่อน เพราะกลัวคุณจะไม่เต็มที่กับงานประจำ ถ้าคุณไม่หยุด ผมอาจจะต้องพิจารณาคุณ”
.
# คำถาม คือ ถ้าคุณมียังภาระหนี้ที่ต้องจ่ายอยู่ คุณจะกล้าลาออกไหม?
.
คำตอบ คือ ไม่มีทาง จะลาออกได้ไง เพราะเรายังต้องจ่ายสารพัดใบเสร็จทุกเดือน
.
คุณจะไม่กล้าขัดคำสั่งหัวหน้า เพราะคุณรู้สึกว่า การค้าขายมันยังไม่มั่นคง คุณอาจจะยอมล้มเลิก เพราะกลัวไม่มีเงินไปจ่ายหนี้ สุดท้ายก็ไปไหนไม่ได้
.
ยังไม่นับรวม ถ้าวันหนึ่ง คุณถูก Lay off ถูกให้ออกจากงาน หรือ ทะเลาะกับเจ้านาย จนถูกบีบให้ออก อีก
.
บอกได้คำเดียวเลยครับว่า “ตาย” คุณอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน คุณจะกลายเป็นคนล้มละลายทางการเงินแน่นอน
.
# แต่ถ้าคุณไม่มีหนี้ คุณจะคิดอีกแบบเลยนะครับ
.
คุณจะคิดว่า “โอเค ไม่เป็นไรวะ ลาออกก็ได้ เพราะขนาดขายหลังเลิกงาน ยังได้ 20,000 ถ้าลาออก เอาเวลา 8 ชั่วโมงมาทำเต็มที่ล่ะ จะได้ขนาดไหน
.
ถ้าเจ๊งก็ไม่เป็นไร ไม่ได้มีหนี้ต้องจ่าย ที่ผ่านมาขายของ 3 เดือน ได้ เดือนละ 20,000 อย่างน้อยก็มีเงินเก็บ 60,000 เอาไว้ตั้งหลักวะ ลองเสี่ยงดูสักตั้ง เอาวะ ลุย !!
.
# เห็นไหมครับ มันต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย
.
ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ในวันที่ผมลาออกจากงานประจำ ผมแทบไม่กลัวอะไรเลย เพราะผมไม่มีหนี้ที่เป็นเหมือนโซ่ตรวนคอยล่ามเอาไว้
.
ถ้าวันนั้นผมมี หนี้บ้าน หนี้รถ ผมคงไม่มีทางกล้าลาออกแน่นอน และ ผมก็คงไม่มีทางมีรายได้หลักล้านในวันนี้ได้
.
ที่สำคัญ คือ การที่เราทำงานหาเงินมาอย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วเงินที่ได้ต้องถูกเจียดออกไปจ่ายหนี้ มันเป็นความรู้สึกที่หดหู่ และ ถดถอยมากเลยนะ
ทุกครั้งที่คุณรับเงินเดือนมา มันจะมีเสียงในหัวคอยตัดพ้ออยู่ตลอดว่า “อะไรวะ รับเงินเดือนมา ยังไม่ทันใช้ ยังไม่ทันมีความสุข เจ้าหนี้ก็เอาไปแล้ว”
.
แล้วสุดท้าย คุณก็จะกลายเป็นหนูถีบจักร ที่ต้องวิ่งอยู่ในสนามแข่งหนูตลอดชีวิต ต้องทำงานแลกเงิน ต้องทำงานใช้หนี้ไปตลอดชีวิต
.
บอกเลยว่า การตื่นเช้ามาทำงาน เพื่อความฝัน กับตื่นเข้ามาทำงานเพราะต้องใช้หนี้ สุขภาพจิตมันต่างกันเยอะเลยนะครับ
.
ซึ่งผมไม่อยากตกอยู่ในสภาพแบบนั้น
.
ดังนั้น วิธีการที่ผมใช้ คือ
.
1) ในช่วงเริ่มต้นของการทำงาน อย่าเพิ่งรีบสร้างหนี้จน
.
บ้านก็เช่าไปก่อน รถยนต์ก็ไม่ต้องรีบซื้อ ขึ้นสองแถว รถเมล์ รถไฟฟ้า ไปก่อน ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย มันอาจจะไม่สะดวก แต่มันก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น อะไรทนได้ก็ทนไปก่อน
.
เพราะเมื่อคุณไม่มีหนี้ ไม่มีภาระ คุณจะไม่รู้สึกเครียด ไม่รู้สึกต้องกดดัน คุณจะรู้สึกเบาขึ้นเยอะ
.
2) จากนั้นก็ ทำงาน > เก็บเงิน > เอาเงินไปลงทุน
.
ซึ่ง การลงทุน ที่ผมคิดว่า มันให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด และ เร็วที่สุด ก็คือ ธุรกิจออนไลน์ ครับ
.
เพราะตั้งแต่มีออนไลน์เข้ามา การทำธุรกิจ ก็ใช้ต้นทุนที่ถูกลง และ ง่ายกว่า สมัยก่อนมากๆ
.
คุณไม่ต้องมีสินค้า ไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องจ้างพนักงาน แค่มีโทรศัพท์มือถือ และ อินเทอร์เน็ต คุณก็สามารถเริ่มต้นได้เลยทันที
.
อย่างตอนผมเริ่มต้น ผมก็ใช้วิธีการทำคอนเทนต์รีวิวในออนไลน์ แล้วก็ขายสินค้าไปก่อน พอลูกค้าโอนเงินมา ผมก็นั่งรถสองแถวไปซื้อสินค้า จากนั้นก็มาใส่กล่องไปรษณีย์ส่งให้ลูกค้า แล้วก็เก็บส่วนต่างไปเรื่อยๆ
.
พอเริ่มมีเงินทุน ก็ค่อยๆ เริ่มสต๊อกสินค้า ค่อยๆ ขยายธุรกิจ ใช้อพาร์ทเม้นท์นี่แหละ เป็นที่เก็บของ ขายของ แพ็คของ จนวันนี้มันเติบโตเป็นมูลค่าหลายล้าน
.
3) พอเริ่มสำเร็จ เริ่มมีองค์ความรู้ เริ่มมีเงินทุนสะสม ก็เอาไปสร้างทรัพย์สินต่างๆ ให้มันเป็นเครื่องผลิตให้เรา
.
เช่น การทำยูทูบ การเขียนหนังสือ การทำคอร์สออนไลน์ ลงทุนทำธุรกิจเพิ่ม โดยส่วนตัวผมมีการเอาเงินไปลงทุนในสวนยางเพิ่มด้วย
.
ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้ สามารถทำเงินให้ผมรวมกันเดือนละ 6 หลัก โดยที่ผมไม่ต้องทำงานก็ได้
.
จากนั้นก็เอาเงินที่เป็น “ดอกผลจากการลงทุน” เหล่านี้แหละ ไปซื้อ หรือ ไปจ่ายค่างวดผ่อนสิ่งที่อยากได้ เช่น รถ BMW, รถ Porsche หรือ แม้แต่บ้านในฝัน
.
.
# สรุป คือ ผมไม่เชื่อ คำว่า “ถ้าไม่กล้ามีหนี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง”
.
แต่ผมเชื่อใน “ความรู้ทางการเงิน” เพราะมันสามารถทำให้คุณ “มีทุกอย่างเป็นของตัวเองได้ โดยไม่ต้องเป็นหนี้”
.
เพราะความรู้ทางการเงิน จะสอนให้คุณ ทำงาน > เก็บเงิน > เอาเงินไปลงทุน > แล้วค่อยเอาดอกผลจากการลงทุน > ไปซื้อสิ่งที่อยากได้ โดยไม่จำเป็นต้องกลับไปทำงานแลกอีก
.
แต่ความเชื่อที่ว่า ถ้าไม่กล้ามีหนี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง จะสอนให้คุณ ทำงาน > เก็บเงิน > ทำงาน > เก็บเงิน > สร้างหนี้ > ทำงาน > ใช้หนี้ > ทำงาน > ใช้หนี้ วนลูปกันแบบนี้ไปจนวันตาย ไม่มีวันได้หยุดพัก
.
เพราะคุณหยุดไม่ได้ คุณเอาเงินในอนาคตมาใช้แล้ว คุณขายเวลาชีวิตในอีก 5 ปี 30 ปี ให้กับธนาคารไปแล้ว
.
ดังนั้น คุณต้องรู้จัก อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน เพราะถ้าคุณยอมอดเปรี้ยว คุณก็จะได้ลิ้มรสความหอมหวาน ที่คนอื่นไม่มีวันได้สัมผัส
.
.
เขียนโดย #สมองไหล